𝗙𝗼𝘂𝗻𝗱𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗦𝟭 𝗘𝗽𝟭𝟬 (𝘀𝗲𝗮𝘀𝗼𝗻 𝗳𝗶𝗻𝗮𝗹𝗲)

𝑊𝑎𝑟𝑛𝑖𝑛𝑔 ! 𝑆𝑝𝑜𝑖𝑙𝑒𝑟𝑠 มีการเปิดเผยเนื้อหา

ในตอนในตอนที่ 10 ของ Foundation ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายจบ season 1 นี้เราได้เห็นการเฉลยและ “ตั้งค่าใหม่” ในหลายๆ เรื่องที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของ season 2 ที่จะตามมา ซึ่งผมขอสรุปสั้นๆ แบบตรงประเด็นตามนี้เลยละกัน ย้ำว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ณ ตอนที่เพิ่งดู ep 10 จบ โดยที่ยังไม่ได้อ่านรีวิวหรือฟัง Official podcast เลย (แต่แค่นี้ก็มีประเด็นเล่าได้ยาวเหยียดแล้ว)

– สุดท้ายที่ผมสงสัยในบทความก่อนนี้ก็เป็นจริง คือจักรพรรดิที่ถูกโคลน clone มานั้นทุกองค์ (รวมถึงก่อนหน้านี้ด้วย) ความจริงโดนปนเปื้อน DNA ให้เสียหายหรือเกิด variation มาตั้งแต่ต้นฉบับคือคลีออนที่ 1 (Cleon I) แล้ว ดังนั้นทุกรุ่นที่ผ่านมาก็จะได้รับผลกระทบหมด (แต่ก็ยังสงสัยต่อว่าผลลัพธ์ที่ได้แต่ละรุ่นทำไมไม่เหมือนกัน ทำไมเพิ่งมาแสดงความผิดปกติที่เห็นได้ชัด เช่น ตาบอดสี ในรุ่นนี้ หรือเป็นผลจากความไม่แน่นอนที่ควบคุมไม่ได้? แล้วเราจะสรุปได้หรือไม่ว่าความโหดร้ายที่เกิดขึ้น หรือลักษณะที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้นดูเหมือนจะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม (ผลประโยชน์?) และปัจเจกบุคคลขององค์ Cleon แต่ละรุ่นเอง กับความเชื่อที่ประมาณว่าชั้นถูก clone มา ชั้นต้องรักษาความเป๊ะและความโหดไว้อย่างเดิม ทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้นเลย (*** ปล. เพิ่งสังเกตการเล่นคำว่า Cleon ถ้าสลับที่นิดเดียวก็จะได้คำว่า clone แทน ?!? อันนี้อาซิมอฟผู้เขียนคงไม่ได้ตั้งใจแต่แรก แต่คนเขียนบทอาจได้ไอเดียเอง)

– อีกคำถามคือจริงๆ แล้วหุ่นยนต์อย่าง Demerzel นั้นภักดีต่อใครกันแน่ ระหว่างมนุษยชาติโดยรวม (ตามในหนังสือ ซึ่งตอนนี้คงไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว) กับจักรวรรดิ (Empire) สังเกตว่าทั้งเรื่องเรียกองค์จักรพรรดิด้วยคำนี้ แทนที่จะเรียกว่า Emporer หรือนี่คือการที่ทำให้ Demerzel พูดได้เต็มปากโดยไม่ต้องโกหกว่า I’m loyal to “empire” หรือว่าจักรวรรดิในความหมายของ Demerzel คือการพยายามรักษาเสถียรภาพของระบอบการปกครองเอาไว้จนถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดทั้งกาแลกซีเกิดสงครามยืดเยื้อ ผู้คนล้มตาย และเข้าสู่อนารยยุคยาวนานหลายหมื่นปีตามที่เซลด็อนทำนายไว้ มากกว่าจะเป็นความภักดีต่อตัวจักรพรรดิองค์ใดองค์หนึ่ง หรือระบอบการปกครองแบบจักรวรรดิโดยรวมก็ตาม แต่ความภักดีนี้มากจนถึงกับทำให้ลงมือสังหารจักรพรรดิ Dawn ผู้เยาว์ที่ตนเองดูแลมาตั้งแต่เด็กได้ เพื่อยุติความขัดแย้งของจักรพรรดิอีก 2 รุ่นที่เริ่มจะบานปลายจนคุมไม่อยู่ .หรือว่าทั้งแผนของเซลด็อน และการพยายามรักษาระบอบของจักรวรรดิไว้ให้นานที่สุดนั้น ต่างก็เป็นแผน A และ B ของ Demerzel เองที่จะรักษาเสถียรภาพของกาแลกซีให้นานที่สุด แต่ถ้าอย่างนั้น การก่อกวนในกระบวนการ clone จักรพรรดิ Cleon ตั้งแต่รุ่นแรกนั้น เกิดขึ้นโดยฝีมือหรือความรู้เห็นของ Demerzel เองหรือเปล่า? โดยความตั้งใจที่จะให้มีผู้ปกครองจักรวรรดิในแบบที่มีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยได้บ้าง แต่แผนนี้ดูจะล้มเหลว และเมื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าปรากฏชัดว่าไม่สามารถคุมสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงที่ตามมาได้ Demerzel จึงต้องตัดใจกำจัดตัวปัญหาทิ้งไป

– มีการเฉลยว่าฮาริ เซลด็อนที่ปรากฏตัวใน The Vault ดูเหมือนจะเป็น AI ในรูปแบบหนึ่งที่วิวัฒน์มาจากร่างของเซลด็อนในแคปซูลหรือ casket ที่ยิงออกจากยานตามคำสั่งเสียก่อนมรณกรรมนั่นเอง (ความจริงในรายละเอียดนั้น ทั้งตัว Vault เองก็วิวัฒน์มาจากแคปซูลที่ย่อยสลายตัวเองรวมกับร่างของเซลด็อน และวัตถุดิบอื่นๆ ที่กวาดเก็บได้ระหว่างทางผ่านมาจนถึงเทอร์มินัส) แต่ก็ทำให้มีคำถามตามมาว่า แล้วจิตสำนึกหรือวิญญาณของเซลด็อนนั้นจริงๆ อยู่ที่ไหน ระหว่าง AI สองตัวคือใน The Vault นี้บนเทอร์มินัส กับในยานที่มารับ Gaal Dornick และมุ่งหน้าไปพิภพ Helicon บ้านเกิดของเซลด็อน เพื่อสานต่อแผนการก่อตั้ง Second Foundation? (ที่เราได้เห้นกันในหลายตอนก่อนหน้านี้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อมีดที่ Raych แทงเซลด็อนเพื่อถ่ายทอดจิตสำนึกนั้น สุดท้ายก็ยังถูก Gaal พาติดตัวไปยัง Synnax ดาวบ้านเกิดด้วย แล้วจริงในเมื่อสามารถโอนถ่ายความคิดหรือจิตวิญญาณของเซลด็อนไปใส่ยานได้ แล้วทำไม The Vault ยังจำเป็นต้องใช้ร่างของเซลด็อนอีก หรือแค่เพราะเซลด็อนอยากจะฝังร่างของตนเองไว้ที่เทอร์มินัส ตามคำพูดที่เคยบอก Gaal ไว้ว่า “อยากจะเห็นเทอร์มินัสด้วยตาของตนเอง) แล้วมีดนั้นจะกลายเป็น plot device ที่ถูกเอามาใช้อีกหรือเปล่า ในเมื่อมันเป็นแค่เครื่องมือถ่ายทอดจิตสำนึก ซึ่งตอนนี้ว่างเปล่าเพราะถ่ายทอดจิตสำนีกของเซลด็อนไปที่ยานแล้ว

– สรุปสถานะล่าสุดของ Terminus (Foundation), Anacreon และ Thespins กลายเป็นพันธมิตรกัน โดยมีแผนที่จะสร้างสมกำลังขึ้นมาเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ มีการใช้คำว่า “Children of the Outer Reach” หรือ “เหล่าลูกหลานของคนชายขอบ (จักรวาล)” เพิ่มเข้ามา ซึ่งผลลัพธ์โดยรวมก็ไม่ต่างจากแผนการเซลด็อนที่เล่า (หลอกๆ) ไว้เดิมมากนัก คือตัดกลุ่มดาวแถวนี้ออกนอกความสนใจของอำนาจศูนย์กลางที่ทรานทอร์ และให้มีโอกาสเติบโตเป็นมหาอำนาจโดยอิสระได้อย่างเงียบๆ จะต่างก็คือ ชาวเทอร์มินัสอาจจะออกอาการเหวอและเสียความรู้สึกอยู่สักหน่อยเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมาโดนหลอกให้เตรียมสร้างตัวเป็นมหาอำนาจใหม่เอง ไม่ใช่แค่การรวบรวมความรู้ในสาขาต่างๆ เพื่อรอการฟื้นฟูสันติภาพเฉยๆ อย่างที่เข้าใจมาตลอด (ซึ่งในหนังสือก็มีประเด็นเรื่องถูกหลอกนี้อยู่เหมือนกัน) .แต่จุดสังเกตเล็กๆ ก็คือ ถ้าจักรวรรดิไม่สนใจจะมายุ่งกับดาวแถบนี้ เพราะถูกหลอกจากการเดินเครื่องของยาน Invictus ให้เข้าใจว่าผู้คนแถบนี้จะถูกการแผ่รังสีจากถูกหลุมดำกลืนกินไปหมดแล้ว อย่างนั้นความจำเป็นในการตั้ง Second Foundation ที่ทรานทอร์ตามต้นฉบับเดิม ที่มีหน้าที่คอยชักใยจากภายในเพื่อป้องกันจักรวรรดิไม่ให้มายุ่งกับ First Foundation ในช่วงฟักตัวบนเทอร์มินัสก็จะหมดไป ดังนั้น Second Foundation อาจจะไปอยู่ที่อื่นๆ ก็ได้ (หรือเปล่า?) แล้ว​ตำนานที่ว่า “ที่ตั้งของ Second Foundation อยู่ที่ Star’s End” นั้นก็จะหมดความหมายไปเลยหรือเปล่า? เพราะดูเหมือนในหนังก็ไม่ค่อยจะแตะหรือเอาประเด็นนี้มาพูดถึงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

– ส่วนประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีคำอธิบาย และคงตั้งใจลากคนดูต่อไป Season 2 คือเมื่อมีการผิดแผนจากการที่ Gaal Dornick ไม่ได้เป็นผู้นำของ Terminus อย่างที่ AI ของฮาริตัวที่อยู่ใน The Vault ถามหา แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จะมีอะไรผิดแผนได้อีก?.- อีกประเด็นที่ต้องตามใน season 2 คือการที่ Salvor Hardin ดั้นด้นไปพบ Gaal Dornick ผู้เป็น biological mother ที่ดาว Synnax จนได้ในที่สุด หลังจากต่างคนต่างจำศีลรอคอยกันเป็นร้อยปี แล้วเส้นเรื่องนี้จะเดินไปอย่างไรต่อ จะไปเกี่ยวพันอะไรกับ Second Foundation หรือไม่? จุดนี้คงทำคนที่อ่านหนังสือมาเหวอไปเลย เมื่อซัลวอร์ทิ้งตำแหน่งที่จะได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรี หรือ Mayor คนแรกของเทอร์มินัสไปเฉยๆ ยังงั้น แล้วใครจะมาเป็นแทน?

สรุปสั้นๆ ถ้าไม่คำนึงถึงข้อที่ว่าาเนื้อเรื่องไม่ตรงหรือไม่ยึดตามต้นฉบับเดิมแล้ว ก็ถือว่าทำหนังออกมาดูสนุกได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะบทที่ตั้งใจะปั่นหัวคนอ่านหนังสือมาแล้วให้เหวอเล่นโดยเฉพาะหลายๆ จุด ตั้งแต่ฮาริ เซลด็อนถูกสังหารตอน ep2 จนถึง ซัลวอร์ ฮาร์ดินไม่อยู่รอเลือกตั้งเพื่อเป็นนายกเทศมนตรีของเทอร์มินัส แต่เอายานออกตระเวณตามหา Gaal Dornick แบบ one-way trip ไปไม่กลับนานนับร้อยปีกันทีเดียว

ถ้าจะให้ดาว ความเห็นส่วนตัวก็คงให้ได้ซัก 8 จาก 10 โดยจุดที่หัก 2 แต้มก็คือ

– กราฟิกยังดูไม่อลังการเท่าที่ควร หลายๆ มุม ทั้งในพระราชวังที่ทรานทอร์ บนยาน Invictus และพิธีกรรมที่ the Maiden มีหลายฉากที่น่าจะตั้งใจให้มืดเพื่อซ่อนรายละเอียดต่างๆ ของ CG ที่ไม่ได้ใส่เอาไว้มากพอ ส่วนในทางตรงกันข้าม ฉาก Outdoor ต่างๆ ถ่ายมาได้สวยงามทีเดียว

– ความไม่ค่อยสอดคล้องกันทางเทคโนโลยีในหลายๆ จุดของเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับเนื้อหาสำคัญ ในหนังนี่การจำศีลกันเป็นร้อยปีในยานแคปซูลแคบๆ ดูเหมือนทำกันง่ายๆ การดาวน์โหลดสมองไปใส่ AI ก็ทำได้ราบรื่น การอ่านความจำเพื่อสอบสวนผู้สมคบคิดต่างๆ หรือลบความจำผู้คนทิ้งเพื่อเก็บความลับก็ทำได้เป็นปกติ หรือแม้แต่การอัดความจำล่าสุดของจักรพรรดิใส่เข้าไปในร่างสำรองให้พร้อมใช้งานรับบทต่อได้เลยก็ทำได้อีก! ถ้าทำกันได้ง่ายๆ แบบนี้ การใช้ชิวิต และมุมมองต่อความตายของผู้คนในยุคนั้นน่าจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ หรือว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีใช้แค่เฉพาะของจักรพรรดิ แบบเดียวกับยานที่ Jump ได้ที่มีแต่กองยานรบของจักรวรรดิเท่านั้น ที่เหลือต้องเป็น slow ship

แต่คำนวณดูแล้วถึงเป็น slow ship ก็ยังต้องเร็วเหนือแสงหลายพันเท่าอยู่ดี ไม่งั้นคณะผู้ก่อตั้ง Foundation จะอพยพจากทรานทอร์ที่ใกล้ศูนย์กลางกาแลกซี ไปยังเทอร์มินัสที่ชายขอบ ซึ่งห่างกันถึง 50,000 ปีแสง โดยใช้เวลาบนยานแค่ไม่กี่ปีได้อย่างไร? ถ้าเป็นอย่างนั้นยานแคปซูลที่ใช้จำศีลก็ต้องทำความเร็วได้หลายเท่าของแสงอยู่ดี (ไม่งั้นจะต้องจำศีลกันนานหลายหมื่นปี แทนที่จะเป็นแค่ร้อยกว่าปี) ซึ่งยานเล็กขนาดนั้นสามารถเดินทางไกลได้อย่างเชื่อถือได้ขนาดนั้นแล้วหรือ?

หรืออย่างที่เราได้เห็นในตอนล่าสุดที่แคปซูลจำศีลของ Gaal ร่อนลงแตะผิวน้ำบน Synnax ก็ยังใช้ร่มชูชีพในการลดความเร็ว! ก็เข้าใจนะว่าเป็นวิธีที่ดีและเชื่อถือได้ซึ่งใช้กันมานับหมื่นปีแล้วตั้งแต่บนโลก แต่ดูเหมือนมันจะไม่ reuseable สักเท่าไหร่ ในขณะที่ตอนยานแคปซูลเข้าไปเทียบกับยานของ AI เซลด็อนที่มุ่งสู่ดาว Helicon นั้นดูเหมือนมันจะพร้อมใช้ พร้อมไปต่อได้ แต่พอมาถึง Synnax ดันใช้ร่มชูชีพแบบครั้งเดียวทิ้งแล้วปล่อยแคปซูลจมไปเลย มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ยังชีพที่เก็บในแคปซูลเอง อย่างเรือพายที่พับได้เหลือเล็กนิดเดียว ซึ่งดู advance มาก ถ้ายุคนั้นมีเทคโนโลยีที่พับย่อส่วนข้าวของได้ขนาดนี้ ร่มชูชีพก็น่าจะพับเก็บคืนได้ หรือชะลอความเร็วตอนเข้าสู่บรรยากาศ และลงจอดด้วยด้วยกลไกแบบอื่น เช่นถุงลม (แบบยานลงจอดดาวอังคารในเรื่อง Mission to Mars หรืออื่นๆ อีกหลายเรื่อง)

รวมๆ แล้ว Foundation ฉบับขอบ David S. Goyer ก็เป็นหนังดูสนุก มีพล็อตหลอกล่อให้คนดูเดาทางไม่ถูกอยู่ตลอด (จนบางทีรู้สึกเหมือนเหมือนจะตั้งใจปั่นหัวแฟนหนังสือเสียด้วยซ้ำ) แต่ถ้าจะเอาความยิ่งใหญ่อลังการของฉาก หรือความสอดคล้องกันทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ยังขัดๆ อยู่หลายจุด ซึ่ง Sci-Fi บางเรื่อง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Star Trek ที่มีทั้ง guideline จากซีรี่ส์ก่อนๆ และทีมที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งกว่า รวมถึงแนวทางหลักของเรื่องที่เน้นการแก้ปัญหาส่วนใหญ่ด้วยเทคโนโลยี) ทำได้แน่นหนาน่าเชื่อถือกว่านี้

ตอนนี้ Foundation ซีซั่น 2 เริ่มถ่ายทำกันต่อแล้ว ถามว่าจะรอดูมั้ย ต้องตอบว่าไม่! คือไม่พลาด ให้รีบๆ บอกมาว่าเมื่อไหร่จะออกฉายดีกว่า จะรอดูว่าจะเอาอะไรมาปั่นหัวแฟนหนังสือกันอีก

#Foundation#AppleTVPlus#asimov