เสี้ยว Seoul ในสองวัน

ที่ตั้งชื่อว่า เสี้ยวโซล ก็เพราะว่าผมใช้เวลาแวบแค่สองสามวันสุดสัปดาห์ ไปเดินดูงานหนังสือ Seoul International Book Fair 2008 ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ แถมยังเจอฝนตกทั้งวันชนิดออกไปดูอะไรไม่ได้อยู่วันนึงเต็มๆ ก็เลยแทบจะไม่มีอะไรมาเล่า นอกจากเก็บภาพงานนิดๆ หน่อยๆ มาฝาก กับเรื่องอัพเดทของกรุงโซลที่ไม่ได้ไปมาสี่ห้าปีแล้วเท่านั้น รวมแล้วไม่ได้ครึ่งของที่ตั้งใจไว้ แค่เสี้ยวยังแทบนับไม่ได้ด้วยซ้ำ

งานหนังสือแบบไม่ลดราคา

งานนี้จัดขึ้นที่ COEX Mall หรือ World Trade Center ของเกาหลี ชานกรุงโซล ฝั่งใต้ของแม่น้ำฮาน ซึ่งเป็นคอมเพล็กซ์ใหญ่ มีทั้งโรงแรม โรงหนัง ศูนย์การค้า ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติ ฯลฯ ที่จัดงานในโซลคงจะมีใหญ่อยู่ที่เดียว (แต่มีหลาย Hall) ที่จัดก็เป็นที่เดิมทุกปี ปีนี้เป็นวันที่ 14-18 พฤษภาคม ในงานก็มีบูธของสำนักพิมพ์ต่างๆ ของเกาหลีมาออกกันมากพอควร ส่วนมากจะจัดบูธอย่างอลังการทั้งๆที่ใช้แค่เพียง 5 วัน

บรรยากาศในงาน-book-fair
เพราะเป็นหน้าเป็นตาของแต่ละสำนักพิมพ์ วันแรกๆของงานจะเป็นการเจรจาธุรกิจ เช่นขายลิขสิทธิ์ ส่วนวันที่เปิดทั่วไปคือเสาร์และอาทิตย์ที่มีการขายปลีกบ้าง แต่คนเดินจัดว่าน้อยเมื่อเทียบกับเมืองไทย ทั้งๆที่พื้นที่ของงานก็ใหญ่พอควร น่าจะราวๆ ห้องพลีนารี่ของศูนย์ประชุมแห่งชาติฯ หรือใหญ่กว่านั้นนิดหน่อยเห็นจะได้ สาเหตุที่คนเกาหลีไม่เดินงานหนังสือมากเท่าเมืองไทยส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะไม่ค่อยมีการลดราคาหนังสือใหม่อย่างบ้านเรา เห็นมีเป็นบางเจ้าที่มีจัดกิจกรรม มีของแจก ก็มีคนเข้าแถวอยู่บ้าง หรือบางรายที่ลดราคาก็เป็นหนังสือเก่ามาลด ส่วนหนังสือใหม่นั้นจะไปลดราคาอยู่ในร้านหนังสือของเกาหลี ซึ่งแต่ละร้านมีพื้นที่ใหญ่หลายพันตารางเมตร เรียกว่าร้านหนังสือที่นี่มีแต่พื้นที่ใหญ่น้องๆ งานหนังสือทั้งนั้น เช่นร้าน Bandi & Lunis (www.bandibook.com มีแต่ภาษาเกาหลี) ที่อยู่ใน COEX Mall เองนั้นก็มีคนเดินแทบจะมากกว่าในงานเสียอีก

ร้านหนังสือใต้ดิน

ที่ว่าใต้ดินนี้ไม่ใช่ขายหนังสือต้องห้ามแต่อย่างใดนะครับ คือร้านหนังสือที่นี่สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟใต้ดินทั้งนั้น เรียกว่าพอออกจากสถานียังไม่ทันเดินขึ้นบนดินก็เจอประตูเข้าร้านแล้ว เพราะทุกร้านอยู่ใต้ระดับพื้นดิน เช่นใต้ตึกอาคารสำนักงานใหญ่ๆทั้งนั้น หรือจะเดินทะลุร้านก่อนค่อยขึ้นบนดินก็ได้) ที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือร้านหนังสือในกรุงโซลมีขนาดใหญ่ และคนเดินมากไม่แพ้ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งเปิดดึกถึงราวๆ 4 ทุ่มทั้งนั้นเช่นกัน
อีกสองร้านที่จัดว่าใหญ่ก็คือ Kyobo (www.kyobobook.co.kr มีแต่ภาษาเกาหลี) ซึ่งอยู่ที่รถไฟใต้ดิน สาย 5 (สีม่วงอ่อน) สถานี Gwanghwamun ทางออกที่ 4 ใต้ตึก Kyobo Life Insurance มีชั้นเดียวแต่ใหญ่มาก กับร้าน Youngpoong (www.ypbooks.co.kr มีแต่ภาษาเกาหลีเช่นกัน) ซึ่งอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Jongkak ทางออกที่ 6 ใต้ตึก Deutsche Bank ร้านมีสองชั้นคือ B1 กับ B2 รวมพื้นที่แล้วก็น่าจะใหญ่ไม่แพ้ Kyobo นอกจากนี้ที่สถานีเดียวกันพอเดินลอดถนนไปมุมตรงข้ามคือใต้ตึก Jonghno Tower รูปทรงล้ำสมัย ก็จะพบกับร้าน Bandi & Lunis อีกสาขาหนึ่งซึ่งอาจจะเล็กว่าที่ COEX Mall แต่ก็กว้างขวางระดับพันตารางเมตรเหมือนกัน เรียกว่าตามมาประกบกันเลย
ร้านหนังสือใต้ดิน
สังเกตว่านิตยสารของเกาหลี (ซึ่งมีมากเป็นพันหัวเช่นเดียวกับของไทย) ส่วนใหญ่จะวางขายในร้านหนังสือ ที่ไปวางขายตามแผงขายหนังสือพิมพ์จะมีน้อยหัวมาก คงจะวางแต่เฉพาะที่ขายดีจริงๆเท่านั้น ซึ่งน้อยหัวกว่าที่ขายตามแผงริมถนนหรือในสถานีรถไฟฟ้าบ้านเราเสียอีก และร้านหนังสือทุกแห่งนอกจากจะขายหนังสือและนิตยสารแล้ว ยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายเครื่องเขียน กระเป๋า ร้านขายของกระจุกกระจิกหรือกิฟต์ช็อป อุปกรณ์ศิลปะ และอื่นๆ เช่น CD/DVD หนังและเพลง อย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยมีการจัดพื้นที่ให้ไม่น้อยทีเดียว

รถไฟใต้ดินและ Airport Express

เมื่อหลายปีก่อนนี้เคยได้ยินว่าจากสนามบินอินชอนที่สร้างใหม่ (อยู่บนเกาะ ห่างฝั่งราวสิบกว่ากิโลเมตร ต้องทำสะพานรถยนต์และรถไฟข้ามไป) เข้าเมืองนั้น บางช่วงรถติดมากถึงขนาดใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงก็มีถ้าไปเจอช่วงเร่งด่วนจริงๆ แต่ตอนนี้รถไฟด่วนไปสนามบินหรือ Airport Express (Arex) ช่วงแรกที่เชื่อมระหว่างสนามบินเก่าคือกิมโป (Gimpo) ไปยังสนามบินใหม่คืออินชอน (Incheon) สร้างเสร็จและเปิดให้บริการตั้งแต่ปีที่แล้ว (2007) ค่าโดยสารตลอดสายแบบธรรมดาหรือ Commuter คือจอดทุกสถานี (มีแค่ 5 สถานี) แค่ 3100 วอนหรือประมาณ 103 บาท ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงเศษ ส่วนช่วงที่ต่อเข้าไปในใจกลางเมืองโดยตรง (ซึ่งก็จอดอีกเพียงไม่กี่สถานี) ยังไม่เสร็จจนกว่าจะถึงปี 2010 ทำให้ใครจะใช้บริการตอนนี้ต้องนั่งรถไฟใต้ดินธรรมดาออกมาที่สนามบินเก่า Gimpo Airport ก่อน ซึ่งถ้าอยู่อีกฟากของเมืองอย่างแถว COEX ที่จัดงาน Book Fair ก็ต้องใช้เวลาราวๆ 80-90 นาที (ค่ารถไฟใต้ดินอีกพันกว่าวอน รวมเป็นเกือบ 5000 วอน) ต่อรถ Arex อีก รวมแล้วเกือบสองชั่วโมง ช้ากว่ารถบัสที่วิ่งตรงมายังสนามบินเลยในเวลาประมาณชั่วโมงเศษๆถึงชั่วโมงครึ่ง (ค่ารถประมาณ 5000 วอนพอๆกัน) คนเลยยังใช้บริการรถไฟสายพิเศษนี้น้อยอยู่ แต่ถ้าเวลามีงานใหญ่ๆ ระดับโลก เช่น Expo 2012 ที่เห็นป้ายโฆษณาว่าจะจัดที่เกาหลี หรืองานใหญ่อื่นๆแล้วก็คงได้อาศัยรถไฟพิเศษนี่แหละ ไม่งั้นคงระบายคนที่เข้าออกพร้อมกันมากๆจากสนามบินไม่ทัน (รถไฟฟ้าไปสนามบินสุวรรณภูมิของเราเห็นว่าจะเสร็จทั้งสายและเปิดให้บริการได้ปีหน้าคือ 2009 ถ้าเป็นจริงเสร็จก็ก่อนเกาหลีตั้งปีนึง)

เทศกาลโคมในวันวิสาขบูชา

ผมอ่านหนังสือพบว่าช่วงก่อนวันวิสาขบูชา จะมีธรรมเนียมการเดินขบวนแห่โคมจำนวนมากไปประดับไว้อย่างสวยงามที่วัด Jogyesa วัดพุธแห่งเดียวกลางกรุงโซล (วัดพุทธอื่นๆ จะอยู่ตามเชิงเขานอกเมือง แต่ก็ไม่ไกล เพราะโซลเป็นเมืองที่มีภูเขาอยู่โดยรอบ ชนิดที่บางวัดนั่งรถไฟใต้ดินไปถึงเชิงเขาได้เลย เขาบางลูกก็แทบจะอยู่กลางเมืองด้วยซ้ำ เช่นภูเขา Namsan ที่มีการตั้งหอคอยโซลหรือ Seoul Tower ไว้ชมวิวโดยรอบ
วัด-Jogyesa-กำลังแสดงเทศกาลโคม
ซึ่งใต้ภูเขานั้นมีอุโมงค์รถยนต์ลอดถึงสามสาย ไม่นับรถไฟใต้ดินอีก) แต่พอถึงวันอาทิตย์ก่อนวันวิสาขบูชาปรากฏว่าฝนตกทั้งวัน เลยไม่มีโอกาสไปดูให้รู้ว่ายังมีการแห่โคมกันอยู่มั้ย เห็นแต่ว่าพอไปถึงวัดในวันวิสาขบูชาก็มีโคมจำนวนมหาศาลประดับเต็มวัดอยู่แล้วตามรูป โบสถ์ของวัดนี้ตามประกาศที่ติดไว้บอกว่าเป็นอาคารโบราณชั้นเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งภายในมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่หลายองค์ และมีผู้คนจำนวนพอสมควรไปสักการะ รวมทั้งเห็นคณะทัวร์จากเมืองไทยมากันเป็นคันรถบัสด้วย ที่ตั้งของวัดนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดิน Jongkak ที่มีร้านหนังสือ Youngpoong และ Banid & Lunis สาขาสองที่เล่าข้างต้น เดินไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้วครับ

ขอจบดื้อๆแค่นี้นะครับ ก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเสี้ยวโซล ถ้าจะเอาถึงครึ่ง ค่อน หรือแบบเต็มๆ เลยคงต้องไปใหม่อีกหนและใช้เวลาให้มากกว่านี้อีกหลายวัน สำหรับคราวนี้ สวัสดีครับ